❉❉...ผมเคยตีน้องสาวหนึ่งครั้ง ด้วยความรู้สึกว่า เราสาละวนอยู่กับการหุงข้าว ทำกับข้าว หาบน้ำ ล้างจาน เธอจะมีแก่ใจมาช่วยกันสักนิดก็ไม่มี มัวแต่เล่น อีกประเดี๋ยวแม่ก็กลับจากไร่แล้ว แม่หิว ข้าวปลาอาหารหุงเสร็จ ถ้วยชามล้างเสร็จ รอท่าไว้ แม่ก็จะได้กินเลย เธอกลับไม่มีแก่ใจจะห่วงใยและช่วยเหลือเลย จึงเรียกเธอมาต่อว่า เธอเถียงไม่มีเหตุผล ผมจึงคว้าไม้เรียวมาและตีเธอเข้า 1 ที
.....
❉❉...น้ำตาเธอร่วงเป็นเผาเต่า เจ็บที่ถูกตีคงไม่เท่าเจ็บที่หัวใจ เธอร้องไห้ปากงุ้มเป็นครุฑ (เป็นเอกลักษณ์ของเธอ 555) แล้วถามผมว่า ตีเธอได้ไง ผมตอบไปว่า ก็ผมเป็นพี่ ทำไมจะตีไม่ได้ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมได้สูญเสีย "เพื่อนเล่น" ไป 1 คน เราโตมาด้วยกันอย่างเพื่อนเสมอมา แต่เมื่อผมทวงสิทธิว่า ผมเป็นพี่ของเธอ เธอจึงเลือกที่จะเป็น "น้องสาว" ให้รู้แล้วรู้รอดเสียเลย
.....
❉❉...พี่ชายก็เคยตีผม แต่ไม่เจ็บทั้งกายและใจ เพราะเราแยกไปโตกับยายมาด้วยกัน หลังพ่อเสียชีวิต แล้วแม่คงจะแบกรับลูกๆ ทั้ง 10 คนไว้ตามลำพังไม่ไหว "พี่ต้องดูแลน้อง" ยายบอก และ "น้องต้องเคารพพี่" ยายบอกอีกเช่นกัน
.....
❉❉...พี่ชายของผม รักษาคำมั่นสัญญานั้นเป็นมั่นเหมาะ เขาดูแลการอาบน้ำอาบท่า ซักผ้าซักผ่อน แม้กระทั่งยามเจ็บไข้ได้ป่วย เขาก็เคยนั่งเฝ้าทั้งคืน เหตุเพราะเขาพาผมไปเล่นน้ำทะเลตอนแดดเปรี้ยงๆ แล้วขากลับ เกิดฝนตกหนัก พวกเราตัวเปียกปอน และผมจับไข้หนาวสั่นในทันใด
.....
❉❉...ในความเป็นพี่เป็นน้อง เราเห็นความรักและ "เยื่อใย" ที่เชื่อมร้อยเราเข้าด้วยกัน เป็นมากกว่า "สายสัมพันธ์" ในฐานะผู้เกิดร่วมบิดามารดา แต่มีหน้าที่ตามมา และเป็นหน้าที่ที่ต้อง "ทำด้วยหัวใจ"
.....
❉❉...น้องสาวผมไม่ค่อยเก็บหอมรอมริบในตอนเด็กๆ ก็ตามประสาเด็กนั่นแหละครับ มีเท่าไรก็ใช้หมด ส่วนมากก็หมดไปกับขนมและของกิน พวกเราไม่เคยซื้อของเล่น มันเป็น "ส่วนเกินในฐานะ" ของครอบครัว แต่ผมพอจะมีนิสัยเก็บเล็กผสมน้อยอยู่บ้าง จึงมีเงินพอที่จะซื้อ "มาม่า" มาต้มกินดับหิวในบ่ายวันหนึ่ง
.....
❉❉...เราจนอยู่แล้ว เงินจะเหลือให้เก็บนั้นเป็นเรื่องยากมาก เว้นเสียแต่เราจะ "ทำงานเพิ่ม" เพื่อให้ได้ "ค่าจ้าง" มา ผมมีเงินติดกระเป๋าอยู่ไม่กี่บาทจากการนั้น
.....
❉❉...หิวเหลือเกิน ข้าวหมด รอหุงอีกทีตอนเย็น ต้มมาม่าละกัน จึงควานหาเงินที่เก็บออมไว้ พอซื้อมาม่าได้ 1 ซอง หลังจากเดินไปซื้อมาม่าแล้ว ก็มาหาเก็บผักบุ้ง ใส่ เพื่อเพิ่มความอิ่มให้มีมากขึ้น
.....
❉❉...ขณะต้มมาม่าด้วยหม้อใบเล็ก มีมาม่าอยู่หน่อยเดียว แต่อัดผักบุ้งลงไปเต็มที่ น้องสาวมายืนดู ตาปรอย น้ำตาหยดย้อยขอกินบ้าง ผมบ่นกระปอดกระแปดว่า ตอนมีเงินไม่รู้จักเก็บไว้บ้าง พอหิวก็เลยไม่มีอะไรกินไงล่ะ ยิ่งบ่นเธอก็ยิ่งร้องไห้ สุดท้ายก็ใจอ่อน ให้เธอหยิบชามมา แล้วตักแบ่งให้เธอกินด้วย
.....
❉❉...ตาที่เคยท่วมนองไปด้วยน้ำตา และส่อว่าจะสิ้นหวังแล้วพลันเปลี่ยนไป มันเป็นประกายด้วยความดีใจ และเราเห็น "ความซึ้งใจ" แวบอยู่ในนั้นด้วย
.....
❉❉...ตอนเด็กกว่านั้น (ผมอยู่ราวๆ ป.4) แม่ซึ่งนำพริกแห้ง หอมกระเทียม ฯลฯ ไปขายที่ภาคใต้ ไปทีก็หลายวัน ก่อนไปก็จะทิ้งเงินไว้ กำชับพี่ชายให้ดูแลยายกับน้องๆ ให้ดี ถึงวันนั้นวันนี้ แม่จะกลับมา
.....
❉❉...ปรากฏว่า ถึงกำหนดแล้ว แม่ก็ยังไม่กลับ
เงินหมด ไม่มีใครมีเลย
.....
❉❉...พี่ชายตัดสินใจชวนน้องชายคนต่อจากเขา และผม (3 พี่น้อง อายุเรียงกัน) เข้าไปในสวนมะพร้าวแถวๆ บ้าน ซึ่งค่อนข้างรก และยุงชุมมาก เพื่อจะหามะพร้าวที่หล่นๆ ตามโคนต้น ผ่า และแคะเนื้อมะพร้าวใส่ถุงมาขายให้แม่ค้าที่ตลาด
.....
❉❉...เขาสองคนหามะพร้าวหล่นๆ ไปด้วย ห่วงผมไปด้วย (ผมเป็นคนป่วยง่าย) เดี๋ยวเทียวเช็ดเหงื่อ เดี๋ยวเทียวไล่ยุงให้ ถามว่ากินน้ำมะพร้าวไหม กินจาวมะพร้าวไหม
.....
❉❉...ในวินาทีที่เราไม่รู้มาแม่จะกลับมาหาเราไหม ใจของผม "อุ่น" ได้ ด้วยความรักจากพวกเขา วันนั้นเป็นวันที่ผมไม่กระจองอแง ไม่เหนื่อย ไม่ทำตัวเป็นภาระ เพราะรู้ว่าทุกข์ที่พี่แบกอยู่นั้น หนักหนาสาหัสขนาดไหน
.....
❉❉...เรากลับบ้านพร้อมเนื้อมะพร้าวจำนวนไม่มาก เพราะมันเป็นสวนของคนอื่นเขา เราขอแค่มะพร้าวหล่นๆ มาประทังชีวิต
.....
❉❉...มีจาวมะพร้าวมาฝากยาย รวมทั้งฝรั่งสุกๆ จากต้นที่เราไปเจอ
.....
❉❉...เงินค่าเนื้อมะพร้าว ซื้อกุ้งที่ตลาดได้ 7 ตัว พี่ชายกับยายช่วยกัน "แก้งส้มมะละกอ" ได้หม้อใหญ่ เรากินด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย
.....
❉❉...คืนนั้นแม่กลับถึงบ้านตอนดึก ผมซึ่งหลับอยู่ ได้ยินเสียงแม่สะอึกสะอื้นร้องไห้ แม่เล่าให้ยายฟังว่า รถโดยสารประจำทางที่จะกลับมาถูกโจรดักปล้น มันเอาเงินที่ขายของได้ไปหมดเลย แม่ต้องอยู่เพื่อให้ปากคำกับตำรวจ และรอจะได้เดินทางกลับ มีเงินที่เขาให้ติดตัวมาแค่ร้อยสองร้อย เมื่อยายเล่าว่า พี่ชายผมออกไปหามะพร้าวมาเพื่อขาย ซื้อกับข้าว แม่ยิ่งร้องไห้เหมือนใจจะขาด
.....
❉❉...นับจากวันนั้นมา แม่รู้ว่า หากไม่มีแม่ แม่ก็มีลูกชายคนหนึ่งที่จะ "สู้เพื่อน้องๆ" ของเขาได้ แม่กอดพี่ชายผม น้ำตาไหล แล้วบอกว่า "แม่ขอโทษและขอบคุณมากนะลูก"
.....
❉❉...คำว่า "ครอบครัว" ไม่ใช่แค่การเกิดมาด้วยพ่อแม่เดียวกัน อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน และโตมาด้วยกันเท่านั้น แต่มันหมายถึงเราผ่านคืนวันที่ทุกข์ที่สุดและสุขที่สุดมาด้วยกัน โดยไม่มีใครมานั่งชั่ง ตวง วัด ว่าใครสุขกว่าใคร หรือใครเหนื่อยกว่าใคร แต่ใจทุกใจ พันและผูกอยู่ด้วยกัน ไม่ว่ามันคือวันแห่งสุขหรือวันแห่งทุกข์
.....
❉❉...เดี๋ยวนี้น้องสาวเป็นคนดูแลแม่ เธอเรียกแม่ด้วยนามแฝงในเฟสบุ๊คว่า "สุดที่รักและรักที่สุด" ก่อนผมซื้อรถกระบะให้เธอ ตามที่เธอขอ ผมบอกกับเธอว่า "เธอต้องคิดให้ดีนะ ทันทีที่เธอมีรถ ด้วยเหตุผลที่เธอห่วงแม่ ว่ามักเจ็บไข้ในตอนดึกๆ กว่าจะโทรเรียกพี่ชายจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง หรือไหว้วานเพื่อนบ้านให้ขับรถพาแม่ไปโรงพยาบาลนั้น มันนาน กลัวแม่จะเป็นอันตราย เธอต้องรู้นะว่า มันอาจจะไม่ง่ายอีกต่อไปที่เเธอจะเรียกคนอื่น ทุกคนจะสบายใจว่า แม่จะอยู่ในความดูแลของเธอ และนั่นจะเป็นภาระที่ตกแก่เธอ รู้ใช่ไหม"
.....
❉❉...เธอบอกว่ารู้ และพร้อม ผมจึงไม่มีรอเลยที่จะส่งเงินให้เธอ และรับหน้าที่ผ่อนรถคันนั้น (ยังผ่อนอยู่)
.....
❉❉...เธอส่งข่าวให้รู้ทุกครั้ง ว่าคืนไหนแม่ต้องไปโรงพยาบาล แม่เป็นความดันโลหิตสูง และชอบสูงตอนตีสอง จนบัดนี้เธอไม่เคยบ่นเลย ว่านั่นคือ "ภาระ" ---มีแต่ทำด้วยความรัก
.....
❉❉...ส่วนพี่ชายคนนั้น จากพวกเราไปหลายปีแล้ว เขาเป็นมะเร็ง ครั้งท้ายๆ ที่ผมไปเยี่ยมเขา เขากินอาหารไม่ได้มาหลายวันแล้ว ดูเหนื่อยอ่อน แต่ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความกังวล
.....
❉❉...ลับหลังพี่ แม่โผเข้ากอดผม ร้องไห้ และพูดกับผมว่า "แม่ดูแล้ว พี่เขาไม่ไหวแล้วล่ะลูก"
.....
❉❉...คืนนั้นผมป้อนนมกล่องให้พี่ จับมือและบีบนวดตัวให้เขา ถามเขาว่า "ไหวมั้ย"
.....
❉❉...เขานิ่ง ผมจึงบอกเขาว่า "ไหวหรือไม่ไหวก็บอกมา เราเป็นพี่น้องกัน พี่เจ็บ พวกเราก็เจ็บ ไม่ไหวก็อย่าฝืน แต่ถ้าไหว ก็สู้ต่อไปด้วยกัน อยากให้พี่อยู่ด้วยกัน แต่ก็จะไม่บอกพี่ว่า พี่ต้องไหว เพราะคนที่เจ็บกว่าใคร คือตัวพี่เอง"
.....
❉❉...น้ำตาของเขาเริ่มไหล...
"อยากให้พี่อยู่นะ แต่เราเจ็บแทนพี่ไม่ได้ ถ้ามันไม่ไหวพี่ก็อย่าห่วงอะไรอีกเลย"
.....
❉❉...เขาบอกว่า "ไม่ไหวแล้ว"
ผมจึงถามว่า "เป็นห่วงเรื่องอะไร"
เขาบอก "ห่วงน้องสาวอีกคน (คนเล็กสุด) ยังเรียนไม่จบเลย อยากเห็นน้องรับปริญญา (น้องคนนี้ เขาเลี้ยงมาเหมือนลูก) ห่วงแม่ ยังตอบแทนพระคุณแม่ไม่พอเลย"
.....
❉❉...ผมสะอื้นไม่เกรงใจเขา และบอกว่า "ฟังนะ ในบรรดาลุกทุกคน พี่ทำให้แม่มากกว่าใครทั้งหมด ดังนั้น ถ้าห่วง 2 เรื่องนี้ ก็เลิกห่วงได้ น้อง เราทุกคนก็รัก และต้องดูแลเขาไม่ให้ลำบากแน่นอน ส่วนแม่ เราจะดูต่อให้ แต่ก็พูดกันเสียให้ชัด ว่าเรากับเธอ นิสัยไม่เหมือนกัน การดูแล ก็คงไม่เหมือนที่เธอทำ แต่แม่จะไม่ลำบาก เธอเชื่อเรามั้ย"
.....
❉❉...เขาพยักหน้า ผมจึงบอกว่า "ทำใจให้ปลอดโปร่งที่สุดนะ แล้วตัดสินใจว่า ไหวมั้ย ถ้าไหว ก็อยากให้อยู่ด้วยกัน ถ้าไม่ไหว ก็อย่าฝืนแบบนี้ มันเจ็บ..."
.....
❉❉...น้ำตาของเราทั้งสองนองหน้า แต่พยายามข่มไว้ เพื่อไม่ให้กระทบจิตใจของแม่ที่หลับอยู่ในห้องคนไข้ด้วยกัน
.....
❉❉..."ไม่ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ เธอต้องมีความสุข เราสัญญาทุกอย่างที่พูดกับเธอ เราไม่มีวันลืมสัญญานี้" เขาพยักหน้า สักพักเดียวเขาก็หลับไป หลังจากนอนไม่หลับมาสองสามวันแล้ว
.....
❉❉...หลังจากนั้นสองสามวันเช่นกัน เขามีนัดตรวจกับหมอที่ศิริราช ผมปิดต้นฉบับที่นิตยสาร LIPS เสร็จตอนเย็น ก็รีบซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปท่าพระจันทร์ แล้วข้ามเรือไป เมื่อไปถึงเตียงคนไข้ เห็นญาติพี่น้องของเรายืนอยู่รอบเตียง
.....
❉❉..."สมองคนไข้ไม่ทำงานแล้ว ที่ยังหายใจอยู่นี้เพราะเครื่อง หากเขาหยุดหายใจ จะให้ปั๊มกลับมาไหม" หมอถาม
.....
❉❉...แม่มองตาเราทุกคนรอบเตียง นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า "ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าให้เขาเจ็บปวดอีกเลย"
.....
❉❉...ผม...ซึ่งมาเป็นคนสุดท้ายจึงหันไปกุมมือเขา แล้วกระซิบข้างหูเขาว่า "มาแล้วนะ ไม่ต้องห่วงอะไรนะ" เท่านั้นเอง เส้นกราฟหัวใจของเขาก็หยุดสนิท
.....
❉❉...เล่าเรื่องเหล่านี้ให้คุณฟังเพื่อจะบอกว่า บ้าน ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย พี่น้อง ไม่ใช่แค่คนคลานตามกันมา ครอบครัวจึงมีความหมายที่ลึกซึ้งว่า ในวันที่ทุกข์ที่สุดและสุขที่สุด เราจะร่วมอยู่ในวันคืนเหล่านั้นด้วยกัน ไม่มีวันปล่อยมือจากกัน
.....
❉❉...จงค่อยๆ หล่อหลอมลูกๆ ของคุณให้รู้จักความเป็นพี่ความเป็นน้อง และความเป็นครอบครัวเถิด เพราะถึงวันหนึ่ง คุณก็ต้องปล่อยมือจากไป โดยที่คุณจะแสนแน่ใจ ว่า พวกเขาจะเกาะกุมมือกัน เดินต่อไปในโลกใบนี้ ด้วยคำว่า เราคือ "ครอบครัว" โดยไม่ปล่อยมือจากกันด้วยความเห็นแก่ตัว
.
ที่มาเพจ ปู จิตรกร บุษบา
.....
❉❉...น้ำตาเธอร่วงเป็นเผาเต่า เจ็บที่ถูกตีคงไม่เท่าเจ็บที่หัวใจ เธอร้องไห้ปากงุ้มเป็นครุฑ (เป็นเอกลักษณ์ของเธอ 555) แล้วถามผมว่า ตีเธอได้ไง ผมตอบไปว่า ก็ผมเป็นพี่ ทำไมจะตีไม่ได้ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมได้สูญเสีย "เพื่อนเล่น" ไป 1 คน เราโตมาด้วยกันอย่างเพื่อนเสมอมา แต่เมื่อผมทวงสิทธิว่า ผมเป็นพี่ของเธอ เธอจึงเลือกที่จะเป็น "น้องสาว" ให้รู้แล้วรู้รอดเสียเลย
.....
❉❉...พี่ชายก็เคยตีผม แต่ไม่เจ็บทั้งกายและใจ เพราะเราแยกไปโตกับยายมาด้วยกัน หลังพ่อเสียชีวิต แล้วแม่คงจะแบกรับลูกๆ ทั้ง 10 คนไว้ตามลำพังไม่ไหว "พี่ต้องดูแลน้อง" ยายบอก และ "น้องต้องเคารพพี่" ยายบอกอีกเช่นกัน
.....
❉❉...พี่ชายของผม รักษาคำมั่นสัญญานั้นเป็นมั่นเหมาะ เขาดูแลการอาบน้ำอาบท่า ซักผ้าซักผ่อน แม้กระทั่งยามเจ็บไข้ได้ป่วย เขาก็เคยนั่งเฝ้าทั้งคืน เหตุเพราะเขาพาผมไปเล่นน้ำทะเลตอนแดดเปรี้ยงๆ แล้วขากลับ เกิดฝนตกหนัก พวกเราตัวเปียกปอน และผมจับไข้หนาวสั่นในทันใด
.....
❉❉...ในความเป็นพี่เป็นน้อง เราเห็นความรักและ "เยื่อใย" ที่เชื่อมร้อยเราเข้าด้วยกัน เป็นมากกว่า "สายสัมพันธ์" ในฐานะผู้เกิดร่วมบิดามารดา แต่มีหน้าที่ตามมา และเป็นหน้าที่ที่ต้อง "ทำด้วยหัวใจ"
.....
❉❉...น้องสาวผมไม่ค่อยเก็บหอมรอมริบในตอนเด็กๆ ก็ตามประสาเด็กนั่นแหละครับ มีเท่าไรก็ใช้หมด ส่วนมากก็หมดไปกับขนมและของกิน พวกเราไม่เคยซื้อของเล่น มันเป็น "ส่วนเกินในฐานะ" ของครอบครัว แต่ผมพอจะมีนิสัยเก็บเล็กผสมน้อยอยู่บ้าง จึงมีเงินพอที่จะซื้อ "มาม่า" มาต้มกินดับหิวในบ่ายวันหนึ่ง
.....
❉❉...เราจนอยู่แล้ว เงินจะเหลือให้เก็บนั้นเป็นเรื่องยากมาก เว้นเสียแต่เราจะ "ทำงานเพิ่ม" เพื่อให้ได้ "ค่าจ้าง" มา ผมมีเงินติดกระเป๋าอยู่ไม่กี่บาทจากการนั้น
.....
❉❉...หิวเหลือเกิน ข้าวหมด รอหุงอีกทีตอนเย็น ต้มมาม่าละกัน จึงควานหาเงินที่เก็บออมไว้ พอซื้อมาม่าได้ 1 ซอง หลังจากเดินไปซื้อมาม่าแล้ว ก็มาหาเก็บผักบุ้ง ใส่ เพื่อเพิ่มความอิ่มให้มีมากขึ้น
.....
❉❉...ขณะต้มมาม่าด้วยหม้อใบเล็ก มีมาม่าอยู่หน่อยเดียว แต่อัดผักบุ้งลงไปเต็มที่ น้องสาวมายืนดู ตาปรอย น้ำตาหยดย้อยขอกินบ้าง ผมบ่นกระปอดกระแปดว่า ตอนมีเงินไม่รู้จักเก็บไว้บ้าง พอหิวก็เลยไม่มีอะไรกินไงล่ะ ยิ่งบ่นเธอก็ยิ่งร้องไห้ สุดท้ายก็ใจอ่อน ให้เธอหยิบชามมา แล้วตักแบ่งให้เธอกินด้วย
.....
❉❉...ตาที่เคยท่วมนองไปด้วยน้ำตา และส่อว่าจะสิ้นหวังแล้วพลันเปลี่ยนไป มันเป็นประกายด้วยความดีใจ และเราเห็น "ความซึ้งใจ" แวบอยู่ในนั้นด้วย
.....
❉❉...ตอนเด็กกว่านั้น (ผมอยู่ราวๆ ป.4) แม่ซึ่งนำพริกแห้ง หอมกระเทียม ฯลฯ ไปขายที่ภาคใต้ ไปทีก็หลายวัน ก่อนไปก็จะทิ้งเงินไว้ กำชับพี่ชายให้ดูแลยายกับน้องๆ ให้ดี ถึงวันนั้นวันนี้ แม่จะกลับมา
.....
❉❉...ปรากฏว่า ถึงกำหนดแล้ว แม่ก็ยังไม่กลับ
เงินหมด ไม่มีใครมีเลย
.....
❉❉...พี่ชายตัดสินใจชวนน้องชายคนต่อจากเขา และผม (3 พี่น้อง อายุเรียงกัน) เข้าไปในสวนมะพร้าวแถวๆ บ้าน ซึ่งค่อนข้างรก และยุงชุมมาก เพื่อจะหามะพร้าวที่หล่นๆ ตามโคนต้น ผ่า และแคะเนื้อมะพร้าวใส่ถุงมาขายให้แม่ค้าที่ตลาด
.....
❉❉...เขาสองคนหามะพร้าวหล่นๆ ไปด้วย ห่วงผมไปด้วย (ผมเป็นคนป่วยง่าย) เดี๋ยวเทียวเช็ดเหงื่อ เดี๋ยวเทียวไล่ยุงให้ ถามว่ากินน้ำมะพร้าวไหม กินจาวมะพร้าวไหม
.....
❉❉...ในวินาทีที่เราไม่รู้มาแม่จะกลับมาหาเราไหม ใจของผม "อุ่น" ได้ ด้วยความรักจากพวกเขา วันนั้นเป็นวันที่ผมไม่กระจองอแง ไม่เหนื่อย ไม่ทำตัวเป็นภาระ เพราะรู้ว่าทุกข์ที่พี่แบกอยู่นั้น หนักหนาสาหัสขนาดไหน
.....
❉❉...เรากลับบ้านพร้อมเนื้อมะพร้าวจำนวนไม่มาก เพราะมันเป็นสวนของคนอื่นเขา เราขอแค่มะพร้าวหล่นๆ มาประทังชีวิต
.....
❉❉...มีจาวมะพร้าวมาฝากยาย รวมทั้งฝรั่งสุกๆ จากต้นที่เราไปเจอ
.....
❉❉...เงินค่าเนื้อมะพร้าว ซื้อกุ้งที่ตลาดได้ 7 ตัว พี่ชายกับยายช่วยกัน "แก้งส้มมะละกอ" ได้หม้อใหญ่ เรากินด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย
.....
❉❉...คืนนั้นแม่กลับถึงบ้านตอนดึก ผมซึ่งหลับอยู่ ได้ยินเสียงแม่สะอึกสะอื้นร้องไห้ แม่เล่าให้ยายฟังว่า รถโดยสารประจำทางที่จะกลับมาถูกโจรดักปล้น มันเอาเงินที่ขายของได้ไปหมดเลย แม่ต้องอยู่เพื่อให้ปากคำกับตำรวจ และรอจะได้เดินทางกลับ มีเงินที่เขาให้ติดตัวมาแค่ร้อยสองร้อย เมื่อยายเล่าว่า พี่ชายผมออกไปหามะพร้าวมาเพื่อขาย ซื้อกับข้าว แม่ยิ่งร้องไห้เหมือนใจจะขาด
.....
❉❉...นับจากวันนั้นมา แม่รู้ว่า หากไม่มีแม่ แม่ก็มีลูกชายคนหนึ่งที่จะ "สู้เพื่อน้องๆ" ของเขาได้ แม่กอดพี่ชายผม น้ำตาไหล แล้วบอกว่า "แม่ขอโทษและขอบคุณมากนะลูก"
.....
❉❉...คำว่า "ครอบครัว" ไม่ใช่แค่การเกิดมาด้วยพ่อแม่เดียวกัน อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน และโตมาด้วยกันเท่านั้น แต่มันหมายถึงเราผ่านคืนวันที่ทุกข์ที่สุดและสุขที่สุดมาด้วยกัน โดยไม่มีใครมานั่งชั่ง ตวง วัด ว่าใครสุขกว่าใคร หรือใครเหนื่อยกว่าใคร แต่ใจทุกใจ พันและผูกอยู่ด้วยกัน ไม่ว่ามันคือวันแห่งสุขหรือวันแห่งทุกข์
.....
❉❉...เดี๋ยวนี้น้องสาวเป็นคนดูแลแม่ เธอเรียกแม่ด้วยนามแฝงในเฟสบุ๊คว่า "สุดที่รักและรักที่สุด" ก่อนผมซื้อรถกระบะให้เธอ ตามที่เธอขอ ผมบอกกับเธอว่า "เธอต้องคิดให้ดีนะ ทันทีที่เธอมีรถ ด้วยเหตุผลที่เธอห่วงแม่ ว่ามักเจ็บไข้ในตอนดึกๆ กว่าจะโทรเรียกพี่ชายจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง หรือไหว้วานเพื่อนบ้านให้ขับรถพาแม่ไปโรงพยาบาลนั้น มันนาน กลัวแม่จะเป็นอันตราย เธอต้องรู้นะว่า มันอาจจะไม่ง่ายอีกต่อไปที่เเธอจะเรียกคนอื่น ทุกคนจะสบายใจว่า แม่จะอยู่ในความดูแลของเธอ และนั่นจะเป็นภาระที่ตกแก่เธอ รู้ใช่ไหม"
.....
❉❉...เธอบอกว่ารู้ และพร้อม ผมจึงไม่มีรอเลยที่จะส่งเงินให้เธอ และรับหน้าที่ผ่อนรถคันนั้น (ยังผ่อนอยู่)
.....
❉❉...เธอส่งข่าวให้รู้ทุกครั้ง ว่าคืนไหนแม่ต้องไปโรงพยาบาล แม่เป็นความดันโลหิตสูง และชอบสูงตอนตีสอง จนบัดนี้เธอไม่เคยบ่นเลย ว่านั่นคือ "ภาระ" ---มีแต่ทำด้วยความรัก
.....
❉❉...ส่วนพี่ชายคนนั้น จากพวกเราไปหลายปีแล้ว เขาเป็นมะเร็ง ครั้งท้ายๆ ที่ผมไปเยี่ยมเขา เขากินอาหารไม่ได้มาหลายวันแล้ว ดูเหนื่อยอ่อน แต่ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความกังวล
.....
❉❉...ลับหลังพี่ แม่โผเข้ากอดผม ร้องไห้ และพูดกับผมว่า "แม่ดูแล้ว พี่เขาไม่ไหวแล้วล่ะลูก"
.....
❉❉...คืนนั้นผมป้อนนมกล่องให้พี่ จับมือและบีบนวดตัวให้เขา ถามเขาว่า "ไหวมั้ย"
.....
❉❉...เขานิ่ง ผมจึงบอกเขาว่า "ไหวหรือไม่ไหวก็บอกมา เราเป็นพี่น้องกัน พี่เจ็บ พวกเราก็เจ็บ ไม่ไหวก็อย่าฝืน แต่ถ้าไหว ก็สู้ต่อไปด้วยกัน อยากให้พี่อยู่ด้วยกัน แต่ก็จะไม่บอกพี่ว่า พี่ต้องไหว เพราะคนที่เจ็บกว่าใคร คือตัวพี่เอง"
.....
❉❉...น้ำตาของเขาเริ่มไหล...
"อยากให้พี่อยู่นะ แต่เราเจ็บแทนพี่ไม่ได้ ถ้ามันไม่ไหวพี่ก็อย่าห่วงอะไรอีกเลย"
.....
❉❉...เขาบอกว่า "ไม่ไหวแล้ว"
ผมจึงถามว่า "เป็นห่วงเรื่องอะไร"
เขาบอก "ห่วงน้องสาวอีกคน (คนเล็กสุด) ยังเรียนไม่จบเลย อยากเห็นน้องรับปริญญา (น้องคนนี้ เขาเลี้ยงมาเหมือนลูก) ห่วงแม่ ยังตอบแทนพระคุณแม่ไม่พอเลย"
.....
❉❉...ผมสะอื้นไม่เกรงใจเขา และบอกว่า "ฟังนะ ในบรรดาลุกทุกคน พี่ทำให้แม่มากกว่าใครทั้งหมด ดังนั้น ถ้าห่วง 2 เรื่องนี้ ก็เลิกห่วงได้ น้อง เราทุกคนก็รัก และต้องดูแลเขาไม่ให้ลำบากแน่นอน ส่วนแม่ เราจะดูต่อให้ แต่ก็พูดกันเสียให้ชัด ว่าเรากับเธอ นิสัยไม่เหมือนกัน การดูแล ก็คงไม่เหมือนที่เธอทำ แต่แม่จะไม่ลำบาก เธอเชื่อเรามั้ย"
.....
❉❉...เขาพยักหน้า ผมจึงบอกว่า "ทำใจให้ปลอดโปร่งที่สุดนะ แล้วตัดสินใจว่า ไหวมั้ย ถ้าไหว ก็อยากให้อยู่ด้วยกัน ถ้าไม่ไหว ก็อย่าฝืนแบบนี้ มันเจ็บ..."
.....
❉❉...น้ำตาของเราทั้งสองนองหน้า แต่พยายามข่มไว้ เพื่อไม่ให้กระทบจิตใจของแม่ที่หลับอยู่ในห้องคนไข้ด้วยกัน
.....
❉❉..."ไม่ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ เธอต้องมีความสุข เราสัญญาทุกอย่างที่พูดกับเธอ เราไม่มีวันลืมสัญญานี้" เขาพยักหน้า สักพักเดียวเขาก็หลับไป หลังจากนอนไม่หลับมาสองสามวันแล้ว
.....
❉❉...หลังจากนั้นสองสามวันเช่นกัน เขามีนัดตรวจกับหมอที่ศิริราช ผมปิดต้นฉบับที่นิตยสาร LIPS เสร็จตอนเย็น ก็รีบซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปท่าพระจันทร์ แล้วข้ามเรือไป เมื่อไปถึงเตียงคนไข้ เห็นญาติพี่น้องของเรายืนอยู่รอบเตียง
.....
❉❉..."สมองคนไข้ไม่ทำงานแล้ว ที่ยังหายใจอยู่นี้เพราะเครื่อง หากเขาหยุดหายใจ จะให้ปั๊มกลับมาไหม" หมอถาม
.....
❉❉...แม่มองตาเราทุกคนรอบเตียง นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า "ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าให้เขาเจ็บปวดอีกเลย"
.....
❉❉...ผม...ซึ่งมาเป็นคนสุดท้ายจึงหันไปกุมมือเขา แล้วกระซิบข้างหูเขาว่า "มาแล้วนะ ไม่ต้องห่วงอะไรนะ" เท่านั้นเอง เส้นกราฟหัวใจของเขาก็หยุดสนิท
.....
❉❉...เล่าเรื่องเหล่านี้ให้คุณฟังเพื่อจะบอกว่า บ้าน ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย พี่น้อง ไม่ใช่แค่คนคลานตามกันมา ครอบครัวจึงมีความหมายที่ลึกซึ้งว่า ในวันที่ทุกข์ที่สุดและสุขที่สุด เราจะร่วมอยู่ในวันคืนเหล่านั้นด้วยกัน ไม่มีวันปล่อยมือจากกัน
.....
❉❉...จงค่อยๆ หล่อหลอมลูกๆ ของคุณให้รู้จักความเป็นพี่ความเป็นน้อง และความเป็นครอบครัวเถิด เพราะถึงวันหนึ่ง คุณก็ต้องปล่อยมือจากไป โดยที่คุณจะแสนแน่ใจ ว่า พวกเขาจะเกาะกุมมือกัน เดินต่อไปในโลกใบนี้ ด้วยคำว่า เราคือ "ครอบครัว" โดยไม่ปล่อยมือจากกันด้วยความเห็นแก่ตัว
.
ที่มาเพจ ปู จิตรกร บุษบา